เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ระบุว่าหลังพิธีลงนามจัดหาวัคซีนดังกล่าวจะทำให้คนไทยได้รับวัคซีนโควิด-19 ประมาณกลางปี 2564 แม้จะรอไม่นาน แต่จำนวนที่สั่งจองไว้ 26 ล้านโดสอาจไม่เพียงพอกับการหยุดยั้งโรคระบาดสำหรับคนไทยทั้งประเทศ เพราะวัคซีนจาก AstraZeneca ต้องฉีดคนละ 2 โดสจึงจะให้ประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสได้ประมาณ 70% เท่ากับว่าจำนวนวัคซีนที่สั่งจองไว้จะถูกใช้สำหรับคนไทยจำนวน 13 ล้านคนเท่านั้น ขณะที่ ศ. นพ.
นคร เสริมว่า ภาพในอุดมคติของการตอบสนองในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ประเทศควรมีโรงงานผลิตวัคซีนที่ผลิตได้ 50-100 ล้านโดสต่อปี เพื่อสร้างบุคลากร สร้างความชำนาญ ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้วงจรการวิจัยและพัฒนา การทดลอง และการผลิตสร้างมาเพื่อเสริมกันและกันอย่างต่อเนื่อง ในส่วนขององค์การอนามัยโลกเองก็ได้ให้การสนับสนุนด้านวิชาการแก่สถาบันวัคซีนฯเป็นอย่างดีมาตลอดนับตั้งแต่เชิญเข้าประชุมครั้งแรก ณ วันนั้น ประเทศไทยมีวัคซีน 11 แคนดิเดตซึ่งอยู่ในขั้นตอนวิจัยและพัฒนาและปัจจุบันนี้มีถึง 20 แคนดิเดตแล้ว ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ นพ. แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยยังแสดงความประหลาดใจเมื่อได้รับรายงานว่าขณะนั้นประเทศไทยมีงานวิจัยและพัฒนาวัคซีนอยู่ถึงสิบกว่าตัว ยิ่งไปกว่านั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ความเชื่อมั่น ว่า "รัฐบาลไทยจะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้มั่นใจได้ว่า คนไทยทุกคนจะปลอดภัยจากโควิด 19 และเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเหมาะสม" ท่านให้สัมภาษณ์เมื่อเดือนกรกฎาคม นพ. นครเชื่อว่าในปลายทางแล้วจะมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 แม้ยังตอบไม่ได้ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มไหน หรือจะสามารถสร้างระดับความคุ้มกันได้เท่าใด แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ความพร้อมของภาคีเครือข่ายที่ทางสถาบันฯ ช่วยเป็นหน่วยงานกลางประสานงานในครั้งนี้ จะสร้างความแข็งแกร่งให้งานวิจัยพัฒนาและผลิตวัคซีนของประเทศไทยพร้อมรับกับโรคอุบัติใหม่ต่าง ๆในอนาคต ดร.
เรื่องโดย สุวิมล สงวนสัตย์ จากบทสัมภาษณ์นพ. นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2563 ในสถานการณ์โลกที่ผู้ป่วยโควิด 19 ยังคงเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้คนกำลังฝากความหวังไว้กับวัคซีน และดูเหมือนว่าเริ่มจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้วเมื่อมีวัคซีนของหลายประเทศเข้าสู่ขั้นตอนการทดลองในมนุษย์ระยะที่ 2 และ 3 แต่การรอเพียงอย่างเดียวเพื่อจะซื้อวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิตคงไม่ใช่ทางออกในวิกฤตนี้ ประเทศไทยได้เรียนรู้จากประสบการณ์เมื่อไข้หวัดใหญ่ระบาดในปี ค. ศ.
ข่าวความสำเร็จของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนของบริษัทอเมริกา เยอรมนี รัสเซีย หรืออังกฤษ ทำให้เราคลายความกังวลต่อจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกไปได้บ้าง ถึงแม้จะเป็นผลการวิเคราะห์เบื้องต้นในระหว่างที่การศึกษาเรื่องประสิทธิภาพของวัคซีนยังดำเนินอยู่ก็ตามที คำถามที่หลายคนน่าจะสงสัยกันอยู่คือ ประเทศไทยจะได้ใช้วัคซีนแบบไหน และเมื่อไร แผนการจัดหาวัคซีนในประเทศไทย ศูนย์ข้อมูลโควิด-19 เผยแพร่สไลด์แถลงการณ์โควิด-19 ศบค. เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ว่าแนวทางการดำเนินการเพื่อให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ประกอบด้วย 3 แนวทางด้วยกัน คือ การวิจัยพัฒนาในประเทศ การทำความร่วมมือกับต่างประเทศ การจัดซื้อจัดหานำมาใช้ภายในประเทศ ซึ่งแนวทางที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในขณะนี้คือ แนวทางที่ 3+2 เพราะแนวทางที่ 3 เป็นการนำเข้า 'วัคซีน' ที่ผลิตเสร็จแล้วจากบริษัทต่างประเทศเข้ามาฉีดให้กับประชาชนเลย ส่วนแนวทางที่ 2 เป็นการนำเข้า 'เทคโนโลยีการผลิต' เข้ามาผลิตวัคซีนในโรงงานภายในประเทศ สำหรับแนวทางที่ 3 กระทรวงสาธารณสุข (สธ. )
นครได้ฉายให้เห็นภาพคร่าวๆว่า หากเริ่มการทดลองในมนุษย์ภายในเดือนตุลาคมปีพ.
ปพนสรรค์ เจียประเสริฐ และ ศ. พญ. กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุถึงข้อดีของ 'วัคซีนที่ทำจากโปรตีนส่วนหนึ่งของไวรัส' มีความปลอดภัยสูง ใช้กับผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ สามารถผลิตวัคซีนได้ง่าย รวดเร็ว และมีประสบการณ์จากการใช้วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกันมาก่อน ข้อจำกัดคือออกสู่ตลาดช้า แต่คาดว่าวัคซีนกลุ่มนี้จะมีการใช้มากขึ้นในอนาคต เพราะจะมีการปรับเปลี่ยนชนิดของโปรตีนได้ไม่ยาก ทำให้สามารถผลิตเพื่อรองรับสายพันธุ์ดื้อยาในอนาคตได้ดี นอกจากนี้ ศ. นพ.
60 ดอลลาร์สหรัฐ = 67. 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนังสือค้ำประกันทางการเงิน: (42 ล้านโดส x 8. 95 ดอลลาร์สหรัฐ) x 2. 5% ต่อปี* = 9. 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประมาณ รวมต้องจ่ายก่อนวันที่ 9 ตุลาคม 76.
แผนงานเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ 4 โครงการ วงเงิน 6, 301 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 6, 666 ล้านบาท หรือคิดเป็น 74. 05% 2. แผนงานหรือโครงการเพื่อจัดซื้อหาอุปกรณ์การแพทย์และสาธารณสุขวัคซีนป้องกันโรคและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ 20 โครงการ วงเงิน 15, 250 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1, 606 ล้านบาท คิดเป็น 10. 53% 3. แผนงานหรือโครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการบำบัดรักษา ป้องกันควบคุมโรค 5 โครงการ วงเงิน 30, 360 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 17, 334 ล้านบาท คิดเป็น 57. 10% 4. แผนงานหรือโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาล 14 โครงการ วงเงิน 10, 257 ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว 1, 822 ล้านบาท คิดเป็น 17. 77% 5. แผนงานหรือโครงการด้านสาธารณสุขเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอันเนื่องมาจากการระบาดของโควิด 8 โครงการ วงเงิน 1, 727 ล้านบาท เบิกจ่าย 180 ล้านบาทคิดเป็น 10. 43% ทั้งนี้ รวมแล้วโครงการตามแผนงานด้านสาธารณสุขที่อนุมัติไว้ 63, 897 ล้านบาท เบิกจ่าย 25, 610 ล้านบาท คิดเป็น 40. 08% "สาธารณสุข" ทยอยขอใช้งบกลาง นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม. ) ให้ใช้งบกลาง 2564 เพื่อใช้ควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ไม่น้อยกว่า 40, 000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.
90 เหรียญสหรัฐต่อวันมีเพียงร้อยละ 0.